ภาพยนตร์ Dolemite is My Name ภาพยนตร์แนว Biographical Comedy หนังชีวประวัติที่ผ่านๆมาของบุคคลสำคัญมานักต่อนัก แต่ Dolemite is My Name ได้บอกเล่าถึงนักแสดงตลกผิวสีตัวเล็กๆ จนมีโอกาสได้เป็นผู้สร้างจนมีคนชื่นชอบ การเล่าเรื่องของ รูดี้ เรย์ มัวร์ รับบทโดยEddie Murphy ในปี 1970 ที่ลอสแองเจลิส ที่ทำหน้าที่เป็นพนักงานแผ่นเสียงตอนกลางวันและเป็นพิธีกรให้กับเพื่อนของเขา Ben Taylor และกลุ่มดนตรีของ Taylor ศิลปินในผับตอนกลางคืน
ขณะเขาทำงานที่ร้านแผ่นเสียง รูดี้พยายามขอให้เพลงของเขาออกอากาศทางสถานีวิทยุในร้าน ด้วยความช่างฝันเขาหวังทำเพลงเพื่อสร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง แต่แล้วมาวันหนึ่งที่ร้านขายแผ่นเสียงชายจรจัดคนหนึ่งชื่อริคโคเดินเข้ามาและเริ่มประกาศคำคล้องจองดัง ๆ หนึ่งในนั้นมีชื่อ“ Dolemite”
จนในที่สุดเขามีโอกาสได้ขึ้นไปแสดงตลกบนเวทีที่คลับโดยมีกลุ่มTaylor และเพื่อนๆช่วยสนับสนุน การแสดงตลก พูดตลกใต้สะดือตามไนต์คลับและออกอัลบั้มใต้ดินขายให้กลุ่มคนผิวสี แมงดา โสเภณี ทำให้เขาได้รับความนิยมเป็นอันมาก แต่เมื่อเขาต้องการมีชื่อเสียงมากยิ่งขึ้น รูดี้ตัดสินสร้างหนังในสไตล์ของเขา โดยใช้เงินทุนจากขอเงินล่วงหน้าจากค่าลิขสิทธิ์จากอัลบั้มของเขา เพื่อเป็นทุนในการสร้างภาพยนตร์ด้วยตัวเอง ผู้บริหารบันทึกยินยอมที่จะทำเช่นนั้น และเขาก็ประสบความสำเร็จทำให้มีหนังตามออกมาอีกหลายเรื่องทีเดียว
Dolemite is My Name คือหนังชีวประวัติที่บอกเล่าชีวิตช่วงนึงของRudy Ray Moore หนังจึงมาพร้อมการเล่าเรื่องที่ตรงไปตรงมาที่ทำให้รับรู้การพัฒนาช่วงเวลาของ รูดี้ พร้อมกับการสร้างตัวละคร “โดเลอไมต์” ทีมีพรสวรรค์และเทคนิคการเล่าเรื่องแล้วตบมุกตลก จากบทกลอนที่คล้องจองสัมผัสที่เต็มไปด้วยคำหยาบ หนังจึงเต็มคำลามก ใต้สะดือ แสลงหยาบคาย แต่มันคือการเล่าเรื่องที่ต่อสู้ดิ้นรนก่อนจะมาเป็น”โดเลอไมต์” ผู้ชมที่โลกสวยอาจจะอึดอัดกับศัพท์หยาบๆและมุกกากๆ
แต่ถ้าเอาเนื้อในของหนังสื่อถึงคนๆหนึ่งที่ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคหรือความบั่นทอนใดๆ แต่เดินหน้าทำตามสิ่งที่ตัวเองฝัน หนังพาผู้ชม หัวเราะไปเรื่อยๆแบบลืมตัว กับเรื่องราวของ รูดี้ อีกทั้งการแสดงของ Eddie Murphyในบทนำก็ตีบทได้แตกเหมือนได้กลับมาเป็นตัวตนของเขาอีกครั้ง การบ่งบอกแสดงตัวตนและทำให้ผู้ชมสงสารในความทะเยอทะยานของรูดี้ที่หวังจะสร้างชื่อได้อยู่ตลอด ส่วนด้านWesley Snipes ในบท D’Urville Martinเวสลีย์ สไนป์ ที่แสดงเป็นตัวประกอบสมทบ ที่แย่งซีนบทนำของหลายๆคนเลยทีเดียว ด้วยการแสดงที่กวนโอ้ยแบบน่าหมั่นไส้ ทำให้เวลาเขาออกฉากมันอดขำไม่ได้ ต้องชมทีมงานด้านภาพที่ทำออกมาได้สวยclassic แต่ไม่โบราณ ทีมจัดหาเสื้อผ้าได้สวยโดดเด่น คนสำคัญที่ต้องกล่าวถึงและยกนิ้วให้คือผู้ กำกับ Craig Brewer ที่คุมหนังได้กำลังดี ไม่ล้นหรือน้อยเกินไป ความไหลลืนของการถ่ายทอดเรื่องราวทำได้อย่างลงตัว ซึ่งบทส่งท้ายของภาพยนตร์ยังบันทึกว่ารูดี้ ยังคงออกทัวร์และแสดงในภาคต่อของDolemiteจนกระทั่งเสียชีวิตในปี 2551 และปัจจุบันเขาได้รับการยกย่องให้เป็น เจ้าพ่อแร็พ ตัวจริง
ดูหนัง https://nungs.io/